ข่าวสารธุรกิจ

ภาษี 19% กับเกมใหญ่เศรษฐกิจโลก: โอกาสทองหรือระเบิดเวลาของไทย?

ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากสงครามการค้าระดับโลก และความไม่สงบในภูมิภาค เช่น กรณีชายแดนไทย–กัมพูชาที่ยังไม่มีทีท่าจะคลี่คลาย เสียงสะท้อนจากหลายฝ่ายจึงเริ่มชัดเจนขึ้นว่า ประเทศไทยต้องเร่ง “ปรับตัว” และ “วางแผนใหม่” เพื่อความอยู่รอดในสนามแข่งขันโลกที่ร้อนแรงยิ่งกว่าเดิม

หนึ่งในความเคลื่อนไหวสำคัญคือ การที่ไทยสามารถเจรจาปิดดีลภาษีกับสหรัฐได้ที่อัตรา 19% ภายในเส้นตาย 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีในภาวะที่ประเทศต่าง ๆ กำลังถูกกดดันจากนโยบายภาษีแบบแข็งกร้าวของสหรัฐ โดยเฉพาะในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

แม้จะดูเป็นชัยชนะในเชิงตัวเลข เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราภาษีของเวียดนามที่ถูกตั้งไว้สูงถึง 20% และกลุ่มสินค้าที่ถูกจัดว่า "สวมสิทธิ" ต้องเจอภาษีถึง 40% แต่ความจริงแล้ว การเจรจานี้อาจเป็นเพียง จุดเริ่มต้น ของความท้าทายระลอกใหม่ที่ไทยต้องเผชิญ


"สวมสิทธิ" สินค้าจีน ปัญหาใหญ่ที่ไทยต้องเร่งจัดการ

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกพูดถึงคือ "สินค้าแอบอ้างสิทธิไทย" หรือสินค้าที่นำเข้าจากประเทศอื่น โดยเฉพาะจีน แล้วเปลี่ยนฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ใหม่เพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในชื่อของสินค้าจากไทย

ข้อมูลจาก SCB EIC ระบุว่า มีผู้ประกอบการไทยมากถึง กว่า 3,000 ราย ที่อาจเข้าข่าย “สวมสิทธิ” โดยบางรายไม่ได้ผลิตจริง หรือมีการแปรรูปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และส่วนใหญ่ลงทุนในสินทรัพย์ถาวรต่ำมาก ซึ่งธุรกิจลักษณะนี้มีมูลค่ารวมกันสูงถึง 1.04 ล้านล้านบาท ในปี 2023 คิดเป็นกว่า 5% ของอุตสาหกรรมการผลิตไทย

หากไม่ได้รับการควบคุมหรือปรับโครงสร้าง อาจทำให้สินค้าส่งออกของไทยถูกตีตราว่า "หลบเลี่ยงภาษี" ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อทั้งภาพลักษณ์ประเทศ และเศรษฐกิจภาคส่งออก


Local Content กลายเป็นตัวแปรสำคัญในเกมการค้า

ในการเจรจาครั้งนี้ มีข้อกำหนดใหม่ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ สินค้าจะต้องมีสัดส่วนวัตถุดิบหรือการผลิตในประเทศ หรือที่เรียกว่า Local Content ไม่น้อยกว่า 40–60% จึงจะถือว่าเป็น “สินค้าไทยแท้” ซึ่งเป็นมาตรการที่สหรัฐฯ ใช้ควบคุมและป้องกันการใช้ไทยเป็นช่องทางหลบเลี่ยงภาษีของสินค้าจากจีน

นี่จึงเป็นสัญญาณเตือนให้ภาคการผลิตของไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบจากต่างประเทศมากเกินไป ว่าต้องเร่งปรับแผนการผลิต เพิ่มการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ และพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับ (traceability) อย่างเป็นระบบ


เอสเอ็มอีไทยคือจุดเปราะบาง

แม้ภาคธุรกิจขนาดใหญ่จะสามารถตั้งรับกับสถานการณ์นี้ได้ด้วยทรัพยากรที่มี แต่ความน่ากังวลที่สุดคือกลุ่ม SMEs ที่ยังไม่ทันตั้งหลักหรือรับรู้ว่า กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของเกมการค้าระดับโลกโดยไม่รู้ตัว

หลายรายอาจใช้ซัพพลายเชนจากจีน หรือรับจ้างผลิตโดยไม่ทราบว่าสินค้านั้นมีปัญหาเรื่องแหล่งกำเนิด การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ในครั้งนี้จึงเปรียบเสมือน พายุที่พัดกระหน่ำ และผู้ประกอบการรายเล็กคือกลุ่มแรกที่มีโอกาสล้มลงก่อน


นาย พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง


วิกฤตคือโอกาส: ไทยต้องเร่งปรับโครงสร้างเพื่อ “ได้เปรียบ”

นาย พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวอย่างชัดเจนว่า วิกฤตในครั้งนี้สะท้อน “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ที่ประเทศไทยปล่อยทิ้งไว้หลายปี ไม่ว่าจะเป็นอุปสรรคด้านการลงทุน กฎระเบียบที่ล่าช้า หรือโครงสร้างอุตสาหกรรมที่ยังไม่พร้อมเข้าสู่ระบบมาตรฐานโลก

แต่หากมองในมุมกลับ สถานการณ์นี้คือ โอกาส ที่ไทยจะเร่ง “ปรับ” โครงสร้างเศรษฐกิจให้ทันโลก เพิ่มการลงทุนจากต่างชาติ ยกระดับอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีใหม่ และสร้างซัพพลายเชนที่มีคนไทยเป็นเจ้าของมากขึ้น


บทสรุป: ไทยรอดแล้ว...แต่ยังไม่ชนะ

ดีลภาษี 19% อาจเรียกได้ว่า “ทีมไทยแลนด์” รักษาสิทธิไว้ได้อย่างแข็งแกร่งในเกมการค้าโลก แต่สิ่งที่ต้องทำต่อคือ “การเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส” ผ่านการยกระดับทั้งระบบ

  • เพิ่ม Local Content

  • ยกระดับ SMEs

  • ปรับการผลิตให้สอดคล้องกับกฎใหม่ของโลก

  • และสำคัญที่สุด คือ การสร้างความโปร่งใสในซัพพลายเชน

หากทำได้ ไทยไม่เพียงแค่ “ไม่เสียเปรียบ” แต่ยังมีสิทธิ์ “ได้เปรียบ” ในเวทีเศรษฐกิจโลกที่กำลังจัดระเบียบใหม่