WEEKY BRIEFING WORLD ECONOMIC UPDATE
ไทย
KKP Research ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 เหลือเพียง 1.6% (YoY) จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 1.7% (YoY) สะท้อนความเปราะบางของปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และความท้าทายที่รัฐบาลและภาคธุรกิจต้องเผชิญในระยะต่อไป
การปรับลดคาดการณ์ครั้งนี้มี 3 ปัจจัยหลัก ที่เป็นแรงกดดันต่อเศรษฐกิจ:
นักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะจีนชะลอตัว
ความกังวลด้านความปลอดภัยในไทย ประกอบกับการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวลดลง โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเคยเป็นกลุ่มหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยว
การส่งออกชะลอจากคำสั่งซื้อที่ลดลง
ผู้ซื้อในต่างประเทศระงับคำสั่งซื้อบางส่วน เนื่องจากระดับ สินค้าคงคลังที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ภาคการผลิตและการส่งออกของไทยยังฟื้นตัวได้ช้า
ภาวะหนี้ครัวเรือนยังสูง – เสี่ยงเป็นหนี้เสีย
หนี้ครัวเรือนไทยยังคงอยู่ในระดับสูง และมีแนวโน้มกลายเป็นหนี้เสีย (NPLs) เพิ่มขึ้น ซึ่งจำกัดความสามารถในการจับจ่ายของประชาชน และส่งผลกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศ
แม้เศรษฐกิจไทยจะยังขยายตัวในปีนี้ แต่การเติบโตที่ชะลอลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงแรงส่งที่อ่อนแอทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ นักวิเคราะห์มองว่ารัฐควรเร่งดำเนินมาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย การกระตุ้นกำลังซื้อของครัวเรือน และการผลักดันการลงทุน เพื่อพยุงเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี
สหรัฐ
เมื่อไม่นานมานี้ วุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติเห็นชอบร่างกฎหมายที่ชื่อว่า One Big Beautiful Bill Act ซึ่งถือเป็นความพยายามล่าสุดของฝ่ายบริหารในการ ขยายมาตรการลดภาษีเงินได้ และ ลดขนาดงบประมาณของรัฐบาลกลาง อย่างมีนัยสำคัญ โดยขณะนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวกำลังเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และหากผ่านความเห็นชอบ ก็จะถูกส่งต่อให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ
สาระสำคัญของร่างกฎหมายนี้ประกอบด้วย 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
การ ขยายอายุของมาตรการลดภาษีเงินได้ ภายใต้กฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act ซึ่งมีกำหนดสิ้นสุดในปี 2568 หากไม่มีการต่ออายุ
การ ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับทิปของพนักงานบริการ
การ ปรับลดงบประมาณของรัฐบาลกลาง มูลค่ากว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับงบสวัสดิการ เช่น โครงการอาหารสำหรับผู้มีรายได้น้อย (SNAP) และประกันสุขภาพ Medicaid
แม้ทำเนียบขาวและผู้สนับสนุนร่างกฎหมายจะย้ำว่าการลดภาษีครั้งนี้จะช่วย “กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่” แต่กลับมีเสียงคัดค้านจากนักเศรษฐศาสตร์และหน่วยงานอิสระ เช่น สำนักงานงบประมาณของสภาคองเกรส (CBO) ซึ่งประเมินว่า ร่างกฎหมายนี้อาจส่งผลให้รัฐบาลกลางเผชิญ ภาวะขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีก 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 10 ปีข้างหน้า และอาจทำให้ชาวอเมริกันกว่า 11.8 ล้านคน ไม่มีประกันสุขภาพเนื่องจากมาตรการตัดลดงบประมาณด้านสาธารณสุข
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนแนวนโยบายเศรษฐกิจแบบ “รัฐขนาดเล็ก-ลดภาษี” ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของพรรครีพับลิกัน โดยเฉพาะในยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายนี้ได้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางในสหรัฐฯ ระหว่างฝ่ายที่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ กับฝ่ายที่กังวลต่อผลกระทบทางสังคม โดยเฉพาะกลุ่มประชากรเปราะบางที่พึ่งพาสวัสดิการรัฐ
ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรกำลังพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว โลกกำลังจับตาว่าสหรัฐฯ จะเดินหน้าสู่เศรษฐกิจที่เน้น “แรงจูงใจทางภาษี” หรือจะชะลอเพื่อรักษา “ความมั่นคงทางสังคม” ในระยะยาว
ราคาทองคำ
ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 3,327.24 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ เพิ่มขึ้น 0.3% จากสัปดาห์ก่อนหน้า สะท้อนแรงซื้อจากนักลงทุนที่ยังมองทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำแท่งในประเทศไทยกลับ ปรับตัวลดลง โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 51,020 บาท/บาททองคำ ลดลง 0.7% จากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยนักวิเคราะห์มองว่า สาเหตุหลักมาจาก การแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งกดดันราคาทองคำในประเทศแม้ราคาตลาดโลกจะสูงขึ้น
สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า แนวโน้มราคาทองคำในประเทศไม่ได้ขึ้นอยู่กับตลาดโลกเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับ อัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งได้รับแรงกดดันจากทั้งนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศ
นักลงทุนยังคงจับตาปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อราคาทองคำในระยะสั้น เช่น
ความชัดเจนของนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ
การเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed)
ทิศทางค่าเงินบาทและดัชนีเงินดอลลาร์
อัตราการแลกเปลี่ยน
เงินบาทยังผันผวนสูง จับตานโยบายภาษีสหรัฐฯ และการเมืองไทย
เงินบาทยังคงเผชิญความผันผวนสูงในช่วงต้นไตรมาส 3 จากความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะหลังสิ้นสุดระยะเวลาผ่อนปรนการเก็บภาษีศุลกากร ซึ่งอาจส่งผลทั้งเชิงบวกและลบต่อค่าเงินบาท
ในระยะสั้น หากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น นักลงทุนอาจเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งจะหนุนให้เงินบาทแข็งค่าได้บางส่วน อย่างไรก็ตาม หากสหรัฐฯ ไม่เลื่อนการเก็บภาษีนำเข้ากับไทย หรือขึ้นอัตราภาษีเกิน 10% ก็มีความเสี่ยงที่เงินบาทจะอ่อนค่าลงจากแรงขายสินทรัพย์ไทยโดยนักลงทุนต่างชาติ
นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในเดือนนี้ และอาจปรับลดเพียง 2 ครั้งในปีนี้ ขณะเดียวกัน ปัจจัยการเมืองในประเทศยังสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อทิศทางเงินบาทในระยะต่อไป
ราคาน้ำมันดิบ
เฉลี่ย WTI 66.40 USD/BBL | Brent 68.19 USD/BBL
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ข้อมูลจาก สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า TPSO