ข่าวสาร

สรุปสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าสำคัญ ประจำสัปดาห์ 16 - 20 มิถุนายน 2568

WEEKY BRIEFING WORLD ECONOMIC UPDATE
ไทย 

เศรษฐกิจไทยปี 2568 ชะลอเหลือ 1.6% นักท่องเที่ยวลด-ส่งออกแผ่ว-หนี้ครัวเรือนกดดันกำลังซื้อ

KKP Research ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 เหลือเพียง 1.6% (YoY) จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 1.7% (YoY) สะท้อนความเปราะบางของปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และความท้าทายที่รัฐบาลและภาคธุรกิจต้องเผชิญในระยะต่อไป

การปรับลดคาดการณ์ครั้งนี้มี 3 ปัจจัยหลัก ที่เป็นแรงกดดันต่อเศรษฐกิจ:

  1. นักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะจีนชะลอตัว
    ความกังวลด้านความปลอดภัยในไทย ประกอบกับการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวลดลง โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเคยเป็นกลุ่มหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยว

  2. การส่งออกชะลอจากคำสั่งซื้อที่ลดลง
    ผู้ซื้อในต่างประเทศระงับคำสั่งซื้อบางส่วน เนื่องจากระดับ สินค้าคงคลังที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ภาคการผลิตและการส่งออกของไทยยังฟื้นตัวได้ช้า

  3. ภาวะหนี้ครัวเรือนยังสูง – เสี่ยงเป็นหนี้เสีย
    หนี้ครัวเรือนไทยยังคงอยู่ในระดับสูง และมีแนวโน้มกลายเป็นหนี้เสีย (NPLs) เพิ่มขึ้น ซึ่งจำกัดความสามารถในการจับจ่ายของประชาชน และส่งผลกระทบต่อการบริโภคภายในประเทศ

แม้เศรษฐกิจไทยจะยังขยายตัวในปีนี้ แต่การเติบโตที่ชะลอลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงแรงส่งที่อ่อนแอทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ นักวิเคราะห์มองว่ารัฐควรเร่งดำเนินมาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย การกระตุ้นกำลังซื้อของครัวเรือน และการผลักดันการลงทุน เพื่อพยุงเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี


สหรัฐ

วุฒิสภาสหรัฐฯ ไฟเขียว “One Big Beautiful Bill Act” ลดภาษี-ลดงบรัฐ เสี่ยงกระทบคนจน 11.8 ล้านคน

เมื่อไม่นานมานี้ วุฒิสภาสหรัฐฯ มีมติเห็นชอบร่างกฎหมายที่ชื่อว่า One Big Beautiful Bill Act ซึ่งถือเป็นความพยายามล่าสุดของฝ่ายบริหารในการ ขยายมาตรการลดภาษีเงินได้ และ ลดขนาดงบประมาณของรัฐบาลกลาง อย่างมีนัยสำคัญ โดยขณะนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวกำลังเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และหากผ่านความเห็นชอบ ก็จะถูกส่งต่อให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ

สาระสำคัญของร่างกฎหมายนี้ประกอบด้วย 3 ประเด็นหลัก ได้แก่

  1. การ ขยายอายุของมาตรการลดภาษีเงินได้ ภายใต้กฎหมาย Tax Cuts and Jobs Act ซึ่งมีกำหนดสิ้นสุดในปี 2568 หากไม่มีการต่ออายุ

  2. การ ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับทิปของพนักงานบริการ

  3. การ ปรับลดงบประมาณของรัฐบาลกลาง มูลค่ากว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับงบสวัสดิการ เช่น โครงการอาหารสำหรับผู้มีรายได้น้อย (SNAP) และประกันสุขภาพ Medicaid

แม้ทำเนียบขาวและผู้สนับสนุนร่างกฎหมายจะย้ำว่าการลดภาษีครั้งนี้จะช่วย “กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่” แต่กลับมีเสียงคัดค้านจากนักเศรษฐศาสตร์และหน่วยงานอิสระ เช่น สำนักงานงบประมาณของสภาคองเกรส (CBO) ซึ่งประเมินว่า ร่างกฎหมายนี้อาจส่งผลให้รัฐบาลกลางเผชิญ ภาวะขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอีก 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 10 ปีข้างหน้า และอาจทำให้ชาวอเมริกันกว่า 11.8 ล้านคน ไม่มีประกันสุขภาพเนื่องจากมาตรการตัดลดงบประมาณด้านสาธารณสุข

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนแนวนโยบายเศรษฐกิจแบบ “รัฐขนาดเล็ก-ลดภาษี” ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของพรรครีพับลิกัน โดยเฉพาะในยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายนี้ได้จุดชนวนให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางในสหรัฐฯ ระหว่างฝ่ายที่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ กับฝ่ายที่กังวลต่อผลกระทบทางสังคม โดยเฉพาะกลุ่มประชากรเปราะบางที่พึ่งพาสวัสดิการรัฐ

ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรกำลังพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว โลกกำลังจับตาว่าสหรัฐฯ จะเดินหน้าสู่เศรษฐกิจที่เน้น “แรงจูงใจทางภาษี” หรือจะชะลอเพื่อรักษา “ความมั่นคงทางสังคม” ในระยะยาว

ราคาทองคำ 
 

ราคาทองคำโลกเพิ่มขึ้น แต่ทองไทยกลับลดลง นักลงทุนจับตาทิศทางค่าเงินบาท–สงครามการค้า

ในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 3,327.24 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ เพิ่มขึ้น 0.3% จากสัปดาห์ก่อนหน้า สะท้อนแรงซื้อจากนักลงทุนที่ยังมองทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก

อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำแท่งในประเทศไทยกลับ ปรับตัวลดลง โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 51,020 บาท/บาททองคำ ลดลง 0.7% จากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยนักวิเคราะห์มองว่า สาเหตุหลักมาจาก การแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งกดดันราคาทองคำในประเทศแม้ราคาตลาดโลกจะสูงขึ้น

สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า แนวโน้มราคาทองคำในประเทศไม่ได้ขึ้นอยู่กับตลาดโลกเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับ อัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งได้รับแรงกดดันจากทั้งนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ และปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศ

นักลงทุนยังคงจับตาปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อราคาทองคำในระยะสั้น เช่น

  • ความชัดเจนของนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ

  • การเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed)

  • ทิศทางค่าเงินบาทและดัชนีเงินดอลลาร์

อัตราการแลกเปลี่ยน 
เงินบาทยังผันผวนสูง จับตานโยบายภาษีสหรัฐฯ และการเมืองไทย

เงินบาทยังคงเผชิญความผันผวนสูงในช่วงต้นไตรมาส 3 จากความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะหลังสิ้นสุดระยะเวลาผ่อนปรนการเก็บภาษีศุลกากร ซึ่งอาจส่งผลทั้งเชิงบวกและลบต่อค่าเงินบาท

ในระยะสั้น หากราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น นักลงทุนอาจเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งจะหนุนให้เงินบาทแข็งค่าได้บางส่วน อย่างไรก็ตาม หากสหรัฐฯ ไม่เลื่อนการเก็บภาษีนำเข้ากับไทย หรือขึ้นอัตราภาษีเกิน 10% ก็มีความเสี่ยงที่เงินบาทจะอ่อนค่าลงจากแรงขายสินทรัพย์ไทยโดยนักลงทุนต่างชาติ

นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในเดือนนี้ และอาจปรับลดเพียง 2 ครั้งในปีนี้ ขณะเดียวกัน ปัจจัยการเมืองในประเทศยังสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อทิศทางเงินบาทในระยะต่อไป

ราคาน้ำมันดิบ 
เฉลี่ย WTI    66.40 USD/BBL | Brent 68.19  USD/BBL 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  

 

 

 

 

 

ข้อมูลจาก สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า  TPSO