ส.อ.ท. เตือนเศรษฐกิจไทยเสี่ยงติดหล่ม โครงสร้างอุตสาหกรรมอ่อนแรง–จี้รัฐเร่งปฏิรูปด่วน

ข่าวสารธุรกิจ

ส.อ.ท. เตือนเศรษฐกิจไทยเสี่ยงติดหล่ม โครงสร้างอุตสาหกรรมอ่อนแรง–จี้รัฐเร่งปฏิรูปด่วน

 

KEY POINTS
  • นาย เกรียงไกร ประธาน ส.อ.ท. เตือนว่าปัญหาเศรษฐกิจไทยไม่ใช่แค่ GDP โตต่ำ แต่เป็น “โครงสร้างอุตสาหกรรมที่อ่อนแรงลงทั้งระบบ” และหากไม่เร่งแก้ไข ประเทศอาจติดหล่มยาว
  • ส.อ.ท. ชี้ว่าหากไม่เร่งปฏิรูปโครงสร้างอุตสาหกรรม ไทยอาจถูกประเทศเพื่อนบ้านแซงภายใน 5 ปี โดยอันดับการเติบโตในอาเซียนอาจร่วงจากที่ 2 ไปอยู่อันดับ 5 ตามที่ IMF เคยประเมิน
  • เสนอ 5 แนวทางเร่งด่วนเพื่อปฏิรูปอุตสาหกรรม ได้แก่ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่ ลดต้นทุนพลังงาน ยกระดับ SME สู่ S-Curve ใหม่ เร่งเบิกจ่ายงบรัฐ และดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ
  • แม้เผชิญความท้าทาย แต่ไทยยังมีโอกาสเติบโตจากอุตสาหกรรมอนาคต เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แบตเตอรี่ ดิจิทัล และดาต้าเซ็นเตอร์ หากมีนโยบายรองรับชัดเจน
  • ประธาน ส.อ.ท. ย้ำว่าตัวเลข GDP ที่ยังขยายตัวไม่ควรทำให้ไทย “ชะล่าใจ” เพราะเป้าหมายสำคัญคือการยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนในทศวรรษหน้า
นาย เกรียงไกร ชี้ปัญหาไม่ใช่แค่ GDP โตต่ำ แต่โครงสร้างเศรษฐกิจอุตสาหกรรมกำลังสูญเสียศักยภาพ ในขณะที่เพื่อนบ้านเร่งเครื่องแซงหน้า

เศรษฐกิจโตต่ำ แต่แรงเฉื่อยเริ่มน่ากังวล

ท่ามกลางสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2568 ขยายตัวเพียง 1.2% ขณะที่ทั้งปี 2568 คาดว่าจะเติบโตได้เพียงราว 2% ต่ำกว่าประมาณการเดิมของภาคเอกชนที่มองไว้ราว 1.5–1.7% สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังอ่อนแรงและฟื้นตัวอย่างเปราะบาง

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า ปัญหาที่ไทยเผชิญในวันนี้ ไม่ได้อยู่เพียงที่ตัวเลข GDP ที่เติบโตต่ำกว่าศักยภาพ แต่คือ “โครงสร้างอุตสาหกรรมที่อ่อนแรงลงทั้งระบบ” ภายใต้แรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง กำลังซื้อภายในประเทศที่ชะลอ ภาวะภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียด และการส่งออกสินค้าคงทนที่ยังเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง

แนวโน้มปี 2569: เสี่ยงโตต่ำต่อเนื่อง–อาจถูกอาเซียนแซง

สศช. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2569 มีแนวโน้มเติบโตเพียง 1.2–2.2% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงยังรายล้อม ทั้งการบริโภคและการลงทุนภาครัฐที่ชะลอตัว การส่งออกสินค้าคงทนที่หดตัว และสภาพอากาศสุดขั้วที่กระทบห่วงโซ่การผลิตในหลายอุตสาหกรรม

ด้านคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเติบโตได้ราว 1.8–2.2% ขณะที่การส่งออกมีโอกาสขยายตัว 9.5–10.5% จากการเร่งส่งออกก่อนที่มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะมีผลเต็มรูปแบบ แต่หากไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง แรงส่งดังกล่าวอาจไม่เพียงพอในระยะกลาง

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เคยประเมินว่า ไทยมีศักยภาพเคยเติบโตอยู่ในลำดับต้น ๆ ของอาเซียน แต่ในช่วงหลังตัวเลขการขยายตัวเฉลี่ยเพียงราว 2% ต่อปี หากยังไม่เร่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ไทยอาจถูกประเทศเพื่อนบ้าน “แซงหน้า” ภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยอันดับการเติบโตในอาเซียนมีความเสี่ยงจะร่วงจากอันดับ 2 ไปอยู่ราวอันดับ 5 ตามที่ IMF เคยสะท้อนไว้

ไม่หมดหวัง หากดัน “อุตสาหกรรมอนาคต” ได้ทัน

แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะเผชิญความท้าทายหลายด้าน แต่ ส.อ.ท. มองว่าไทยยังมี “โอกาสใหม่” หากสามารถผลักดัน อุตสาหกรรมอนาคตให้เป็น Growth Engine หลัก โดยเฉพาะกลุ่ม ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), แบตเตอรี่, ดิจิทัล และ ดาต้าเซ็นเตอร์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่

มาตรการเชิงนโยบายในลักษณะ “Quick Big Win” ของรัฐบาล หากดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและมีเป้าหมายชัดเจน จะมีส่วนสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งผู้ประกอบการและนักลงทุนต่างชาติ

ส.อ.ท. ชง 5 แนวทางปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย

เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจไทย “ติดหล่มยาว” ส.อ.ท. เสนอ 5 แนวทางเร่งด่วนในการปฏิรูปโครงสร้างภาคอุตสาหกรรม ดังนี้

  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่ ยกระดับนิคมอุตสาหกรรมไปสู่ Smart Industrial Estate ที่รองรับเทคโนโลยีดิจิทัล ระบบอัตโนมัติ และเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อจูงใจการลงทุนใหม่
  • ลดต้นทุนพลังงานและค่าครองชีพ ทั้งค่าไฟฟ้า พลังงาน และต้นทุนระบบโลจิสติกส์ เพื่อช่วยพยุงต้นทุนภาคการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย
  • ยกระดับ SME ไทยเข้าสู่ S-Curve / New S-Curve ผลักดันให้เอสเอ็มอีมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมอนาคต เช่น EV แบตเตอรี่ อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ และบริการดิจิทัล ผ่านการอบรม ทุนสนับสนุน และมาตรการภาษี
  • เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ เสนอให้รัฐเบิกจ่ายและชำระเงินให้กับผู้ประกอบการภายใน 30–45 วัน พร้อมคืนหลักประกันสัญญาใน 15 วัน เพื่อเติมสภาพคล่องให้ธุรกิจโดยเฉพาะ SME
  • ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) เชิงรุก วางตำแหน่งไทยเป็นฐานการผลิตยุคใหม่ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานพร้อม แรงงานมีทักษะ และแพ็คเกจนโยบายที่ชัดเจนเพื่อดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่

แรงกดดันรอบด้าน: ส่งออกสะดุด–เพื่อนบ้านชะลอ–จีนท่วมตลาด

นายเกรียงไกร ระบุว่า แรงกดดันต่อภาคอุตสาหกรรมมีมากขึ้นจากหลายปัจจัยประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นดัชนีความเชื่อมั่น การส่งออก และสภาพแวดล้อมภายนอกประเทศที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

  • ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือนตุลาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 87.3 ลดลงจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนความกังวลต่อคำสั่งซื้อและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
  • การส่งออกสินค้าคงทน เช่น รถยนต์สันดาปและเครื่องปรับอากาศชะลอตัวลง จากทั้งการแข่งขันที่รุนแรงและการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี
  • สินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ โดยช่วงเดือนมกราคม–กันยายน 2568 เพิ่มขึ้นถึง 33.49% กดดันการแข่งขันในตลาดภายในประเทศ
  • ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ ทั้งน้ำท่วมและอุทกภัยส่งผลต่อการผลิต การขนส่ง และการค้าชายแดนในหลายจังหวัด
  • ตลาดเพื่อนบ้านอ่อนแรง โดยเฉพาะเมียนมาที่ตลาดหดตัวถึง 40.8% และกัมพูชาที่การค้าใกล้ชะงักเกือบทั้งหมด

ความหวังจากมาตรการรัฐและดัชนีความเชื่อมั่นล่วงหน้า

แม้ดัชนีปัจจุบันสะท้อนความกังวล แต่ดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ล่วงหน้า 3 เดือนของภาคอุตสาหกรรมปรับขึ้นมาอยู่ที่ 93.5 จากระดับ 91.8 ในเดือนก่อนหน้า สะท้อนความคาดหวังต่อมาตรการของภาครัฐ

มาตรการที่ได้รับการจับตาและคาดหวังว่าจะช่วยพยุงเศรษฐกิจ ได้แก่

  • แผนแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ผ่านการบริหารจัดการหนี้โดยบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC)
  • วงเงินค้ำประกันสินเชื่อ SME 50,000 ล้านบาท ผ่านบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
  • แผนเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 วงเงินรวมกว่า 4.37 ล้านล้านบาท เพื่อขับเคลื่อนโครงการลงทุนและการจ้างงาน

ส.อ.ท. เตือนอย่าชะล่าใจกับตัวเลข GDP ที่ยังเป็นบวก

ประธาน ส.อ.ท. ย้ำว่า ตัวเลข GDP ที่ยังขยายตัวไม่ควรทำให้ไทย “ชะล่าใจ” เพราะโจทย์สำคัญไม่ใช่เพียงการรักษาการเติบโตระยะสั้น แต่คือการยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ท่ามกลางการแข่งขันระดับภูมิภาคที่รุนแรงขึ้นทุกปี

ทิศทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4/2568 และปี 2569 จะเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่าไทยสามารถ “เร่งเครื่องปฏิรูปโครงสร้าง” ได้ทันก่อนที่โอกาสสำคัญในการดึงดูดการลงทุนและสร้างอุตสาหกรรมอนาคตจะหลุดมือไปหรือไม่