ส.อ.ท. เตือนเศรษฐกิจไทยเสี่ยงติดหล่ม โครงสร้างอุตสาหกรรมอ่อนแรง–จี้รัฐเร่งปฏิรูปด่วน
ท่ามกลางสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2568 ขยายตัวเพียง 1.2% ขณะที่ทั้งปี 2568 คาดว่าจะเติบโตได้เพียงราว 2% ต่ำกว่าประมาณการเดิมของภาคเอกชนที่มองไว้ราว 1.5–1.7% สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยยังอ่อนแรงและฟื้นตัวอย่างเปราะบาง
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า ปัญหาที่ไทยเผชิญในวันนี้ ไม่ได้อยู่เพียงที่ตัวเลข GDP ที่เติบโตต่ำกว่าศักยภาพ แต่คือ “โครงสร้างอุตสาหกรรมที่อ่อนแรงลงทั้งระบบ” ภายใต้แรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง กำลังซื้อภายในประเทศที่ชะลอ ภาวะภูมิรัฐศาสตร์ที่ตึงเครียด และการส่งออกสินค้าคงทนที่ยังเผชิญแรงกดดันต่อเนื่อง
สศช. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2569 มีแนวโน้มเติบโตเพียง 1.2–2.2% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงยังรายล้อม ทั้งการบริโภคและการลงทุนภาครัฐที่ชะลอตัว การส่งออกสินค้าคงทนที่หดตัว และสภาพอากาศสุดขั้วที่กระทบห่วงโซ่การผลิตในหลายอุตสาหกรรม
ด้านคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเติบโตได้ราว 1.8–2.2% ขณะที่การส่งออกมีโอกาสขยายตัว 9.5–10.5% จากการเร่งส่งออกก่อนที่มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะมีผลเต็มรูปแบบ แต่หากไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง แรงส่งดังกล่าวอาจไม่เพียงพอในระยะกลาง
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เคยประเมินว่า ไทยมีศักยภาพเคยเติบโตอยู่ในลำดับต้น ๆ ของอาเซียน แต่ในช่วงหลังตัวเลขการขยายตัวเฉลี่ยเพียงราว 2% ต่อปี หากยังไม่เร่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างจริงจัง ไทยอาจถูกประเทศเพื่อนบ้าน “แซงหน้า” ภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยอันดับการเติบโตในอาเซียนมีความเสี่ยงจะร่วงจากอันดับ 2 ไปอยู่ราวอันดับ 5 ตามที่ IMF เคยสะท้อนไว้
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะเผชิญความท้าทายหลายด้าน แต่ ส.อ.ท. มองว่าไทยยังมี “โอกาสใหม่” หากสามารถผลักดัน อุตสาหกรรมอนาคตให้เป็น Growth Engine หลัก โดยเฉพาะกลุ่ม ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), แบตเตอรี่, ดิจิทัล และ ดาต้าเซ็นเตอร์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่
มาตรการเชิงนโยบายในลักษณะ “Quick Big Win” ของรัฐบาล หากดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและมีเป้าหมายชัดเจน จะมีส่วนสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้ทั้งผู้ประกอบการและนักลงทุนต่างชาติ
เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจไทย “ติดหล่มยาว” ส.อ.ท. เสนอ 5 แนวทางเร่งด่วนในการปฏิรูปโครงสร้างภาคอุตสาหกรรม ดังนี้
นายเกรียงไกร ระบุว่า แรงกดดันต่อภาคอุตสาหกรรมมีมากขึ้นจากหลายปัจจัยประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นดัชนีความเชื่อมั่น การส่งออก และสภาพแวดล้อมภายนอกประเทศที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
แม้ดัชนีปัจจุบันสะท้อนความกังวล แต่ดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ล่วงหน้า 3 เดือนของภาคอุตสาหกรรมปรับขึ้นมาอยู่ที่ 93.5 จากระดับ 91.8 ในเดือนก่อนหน้า สะท้อนความคาดหวังต่อมาตรการของภาครัฐ
มาตรการที่ได้รับการจับตาและคาดหวังว่าจะช่วยพยุงเศรษฐกิจ ได้แก่
ประธาน ส.อ.ท. ย้ำว่า ตัวเลข GDP ที่ยังขยายตัวไม่ควรทำให้ไทย “ชะล่าใจ” เพราะโจทย์สำคัญไม่ใช่เพียงการรักษาการเติบโตระยะสั้น แต่คือการยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ท่ามกลางการแข่งขันระดับภูมิภาคที่รุนแรงขึ้นทุกปี
ทิศทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4/2568 และปี 2569 จะเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่าไทยสามารถ “เร่งเครื่องปฏิรูปโครงสร้าง” ได้ทันก่อนที่โอกาสสำคัญในการดึงดูดการลงทุนและสร้างอุตสาหกรรมอนาคตจะหลุดมือไปหรือไม่