ส.อ.ท. ชี้ “แร่หายาก” กลายเป็นอาวุธใหม่ในสงครามเทคโนโลยีโลก – แนะไทยรักษาสมดุล 2 มหาอำนาจ
KEY POINTS
- สหรัฐฯ หยิบประเด็น แร่หายาก (Rare Earth) หารือนอกรอบกับไทยบนเวที APEC สะท้อนยุทธศาสตร์ลดพึ่งพาจีนที่ครองตลาดกว่า 90%
- ส.อ.ท. มองเป็นโอกาสต่อยอดสู่อุตสาหกรรมขั้นสูง EV–แบตเตอรี่–ชิป แต่เตือนเข้มเรื่องสิ่งแวดล้อม ยกบทเรียนเหมืองเมียนมา
- เสนอไทยสร้างห่วงโซ่แปรรูปในประเทศ ไม่ใช่แค่ส่งออกวัตถุดิบ พร้อมวางมาตรการความปลอดภัย–สิ่งแวดล้อม
- โลกกำลังเข้าสู่ “สองขั้วอำนาจ” ไทยต้องรักษาสมดุลสัมพันธ์ สหรัฐฯ–จีน และใช้เวที APEC หนุนนักท่องเที่ยวจีน–มาตรการคนละครึ่งพลัส
“ดีลแร่หายาก” กลางเวที APEC: สัญญาณสงครามเทคโนโลยี
สหรัฐอเมริกาหยิบยกประเด็น “แร่หายาก” (Rare Earth) ขึ้นหารือนอกรอบกับไทยในเวที APEC สะท้อนยุทธศาสตร์ กระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาจีน ซึ่งครองตลาดโลกกว่า 90% ท่ามกลางความตึงเครียดจากสงครามเทคโนโลยีที่ยืดเยื้อระหว่างสองมหาอำนาจ
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า ประเด็นดังกล่าวเป็น “ดีลแทรกกลางเวที” ที่ไม่อยู่ในวาระหลักเดิม โดยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้เปิดประเด็นเอง สะท้อนแรงกดดันทางยุทธศาสตร์ที่ต้องเร่งสร้างซัพพลายเชนทางเลือกในภูมิภาค
ส.อ.ท. วิเคราะห์: ไทยเป็นหนึ่งใน 10 ประเทศที่มีศักยภาพด้านแร่หายาก สหรัฐฯ ต้องการดึงไทย เวียดนาม ออสเตรเลีย และมาเลเซีย เข้าร่วมสร้างห่วงโซ่อุปทานใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาจีน
โอกาสใหม่: จากวัตถุดิบสู่เทคโนโลยีขั้นสูง
ส.อ.ท. เห็นว่าดีลดังกล่าวเปิดประตูให้ไทยก้าวสู่ อุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่ม อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) แบตเตอรี่ ชิปอิเล็กทรอนิกส์ และระบบอาวุธป้องกันประเทศ ที่ต้องใช้ Rare Earth เป็นแกนหลักในกระบวนการผลิต
อย่างไรก็ดี การลงทุนด้านนี้ต้องใช้เงินมหาศาลและต้องออกแบบนโยบายที่ทำให้ไทย ไม่เป็นเพียงผู้ส่งออกวัตถุดิบ แต่สามารถต่อยอดสู่การแปรรูปและผลิตชิ้นส่วนภายในประเทศให้ได้ครบวงจร
เตือนเข้ม “สิ่งแวดล้อม–ความปลอดภัย”: บทเรียนจากเมียนมา
ส.อ.ท. เตือนว่ากระบวนการขุดและแยกสาร Rare Earth ใช้สารเคมีที่มีความเป็นพิษสูง หากบริหารจัดการไม่ดีจะก่อมลพิษรุนแรง โดยยกกรณี เหมืองในเมียนมา ที่ทำให้สารเคมีปนเปื้อนลำน้ำไหลลงสู่แม่น้ำแม่กก ส่งผลกระทบต่อชุมชนไทยเป็นกรณีศึกษา
จึงเสนอให้รัฐบาลวางมาตรการสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยที่ รัดกุมสูงสุด ควบคู่กับการพัฒนาอุตสาหกรรม เพื่อให้การเติบโตทางเศรษฐกิจไม่ทำลายฐานทรัพยากรในระยะยาว
โลกสองขั้ว: ไทยต้อง “บาลานซ์” สหรัฐฯ–จีน
ส.อ.ท. ประเมินว่าโลกกำลังก้าวสู่ยุค “สองขั้วอำนาจ” ที่ชัดเจน ไทยจึงต้องรักษาสมดุลระหว่างสองฝ่าย เนื่องจากจีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 และสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าอันดับ 2 คิดเป็นสัดส่วนรวมกว่า 30% ของการส่งออกไทย อีกทั้งทั้งสองยังเป็นแหล่ง FDI สำคัญ ในยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และพลังงาน
“ไทยไม่ควรเลือกข้าง แต่ควรวางตัวเป็นฐานการผลิตและศูนย์กลางซัพพลายเชนที่เชื่อมทั้งสองขั้วเข้าด้วยกัน” นายเกรียงไกรกล่าว
แรงส่งในประเทศ: APEC–ท่องเที่ยวจีน และ “คนละครึ่งพลัส”
ส.อ.ท. คาดว่า การพบปะผู้นำไทย–จีนในเวที APEC ที่จีนส่งสัญญาณสนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยวมายังไทย จะช่วยฟื้นตลาดนักท่องเที่ยวจีน หากกลับมาเพียง 50% ของก่อนโควิด ก็จะเพิ่มรายได้ให้เศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ
ควบคู่กับมาตรการ “คนละครึ่งพลัส” ที่ช่วยกระจายรายได้สู่ร้านค้าและผู้ประกอบการรายย่อย คาดหนุนให้ GDP ไตรมาส 4 ปี 2568 เพิ่มขึ้นราว 0.1–0.2% และสร้างแรงส่งต่อเนื่องไปยังปี 2569 โดย กกร. จะทบทวนเป้าหมาย GDP อีกครั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568
