จาการ์ตา, 20 พฤษภาคม — อินโดนีเซียตั้งเป้าให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เติบโตในอัตรา 5.2% ถึง 5.8% ภายในปี 2569 โดยรัฐบาลมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจผ่านการส่งเสริมภาคการผลิตอาหาร เสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นหลัก พร้อมเตรียมมาตรการกระตุ้นการลงทุนและพัฒนาทุนมนุษย์ให้ทันต่อการแข่งขันระดับโลก
นาง ศรี มุลยานี อินทราวตี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอินโดนีเซีย กล่าวต่อรัฐสภาว่า รัฐบาลมีความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจของประเทศสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องได้ หากสามารถรักษากำลังซื้อของประชาชน เพิ่มมูลค่าการผลิตจากทรัพยากรธรรมชาติ และยกระดับสภาพแวดล้อมในการลงทุน โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกทางธุรกิจและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
“เราต้องเดินหน้าทั้งด้านการปฏิรูปภายในและเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในเชิงรุก เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกที่ทวีความไม่แน่นอน” รัฐมนตรีศรี มุลยานีกล่าว
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายฝ่ายยังคงตั้งข้อสังเกตว่า เป้าหมายการเติบโตดังกล่าวอาจเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากยังไม่มีสัญญาณเชิงนโยบายที่ชัดเจนว่าจะสามารถผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่จำเป็นได้จริง
จาเฮน เรซกี นักวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยอินโดนีเซีย ระบุว่า แม้แผนงานของรัฐบาลจะเน้นไปที่สวัสดิการและการพัฒนาเชิงสังคม แต่ยังขาดกลยุทธ์ด้านเศรษฐกิจเชิงรุก เช่น การเร่งดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ การปฏิรูประบบภาษี และการยกระดับระบบการเงินให้สามารถรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่
“อินโดนีเซียยังคงต้องการการลงทุนในระดับสูงเพื่อรองรับการเติบโตระยะยาว และควรมีการพัฒนากลไกการเงินให้ลึกและหลากหลายมากกว่าที่เป็นอยู่” เรซกีกล่าว
สำหรับเป้าหมาย GDP ที่ระดับ 5.2% ถือเป็นอัตราขั้นต่ำของกรอบประมาณการในปี 2569 ซึ่งเท่ากับเป้าหมายของปี 2568 นั่นสะท้อนถึงความระมัดระวังของรัฐบาลในบริบทเศรษฐกิจโลกที่ยังเผชิญความไม่แน่นอน อาทิ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ผันผวน และการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายการเงินในประเทศมหาอำนาจ
รัฐบาลอินโดนีเซียยังระบุว่า จะมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมปลายน้ำจากทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การแปรรูปแร่โลหะและน้ำมันปาล์ม ตลอดจนการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และลดความเปราะบางจากความผันผวนของตลาดโลก
ทั้งนี้ ภาคธุรกิจและนักลงทุนยังคงจับตาการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีที่เพิ่งได้รับเลือก เพื่อดูทิศทางนโยบายเศรษฐกิจในอนาคต ว่าจะสามารถรักษาเสถียรภาพทางการคลังและเร่งรัดการปฏิรูปที่จำเป็นได้มากน้อยเพียงใด