พาณิชย์เผยไทยต้องเร่งปรับกฎหมายให้สอดคล้อง พร้อมรับฟัง SMEs เดินหน้าหามาตรการรองรับผลกระทบ
วันที่ 4 สิงหาคม 2568 – ไทยและสหรัฐอเมริกาเตรียมออกแถลงการณ์ร่วม ยืนยันการบรรลุข้อตกลงในการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าในอัตรา 19% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 สิงหาคม 2568 เวลา 00:01 น. โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ เปิดเผยว่า การที่สหรัฐฯ เห็นชอบในอัตราภาษีดังกล่าว ถือเป็นข่าวดีและเป็นก้าวแรกในการรักษาความสามารถการแข่งขันทางการค้าของไทย
อย่างไรก็ตาม การเจรจายังไม่สิ้นสุด ไทยยังต้องผลักดันประเด็นสำคัญเพิ่มเติม เช่น กฎถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และมาตรการ Regional Value Content (RVC) เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้รับประโยชน์สูงสุดและสามารถปรับตัวได้โดยไม่เกิดผลกระทบรุนแรง
กระทรวงพาณิชย์กำลังดำเนินการอย่างเข้มข้น ทั้งในด้านการปรับปรุงกฎระเบียบให้สอดคล้องกับมาตรการของสหรัฐฯ การสนับสนุนผู้ประกอบการในการปรับตัว และการเดินหน้าหาตลาดใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสการส่งออก โดยยังคงรักษาตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ ไว้เช่นเดิมในขณะเดียวกัน กระทรวงฯ ได้หารืออย่างใกล้ชิดกับผู้ประกอบการ ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตร เพื่อรับฟังความคิดเห็นและกำหนดมาตรการช่วยเหลือที่เหมาะสม เช่น การเตรียมความพร้อมต่อกฎ RVC ใหม่ และการใช้โครงการต่างๆ เพื่อสนับสนุนการเจาะตลาดใหม่หนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนถึงศักยภาพของผู้ประกอบการไทย คือ "กาแฟไทย" ที่สามารถต่อยอดเข้าสู่ตลาดโลกได้ โดยเฉพาะในระดับพรีเมียม
นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รมช.พาณิชย์
ปัจจุบัน SMEs ถือเป็นหัวใจของเศรษฐกิจไทย โดยมีจำนวนมากกว่า 3.1 ล้านราย และสร้างการจ้างงานกว่า 10 ล้านคน การส่งเสริมศักยภาพของ SMEs ด้วยข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) และเทคโนโลยีดิจิทัล จึงมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน "กาแฟ" ถือเป็นหนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากน้ำมันดิบ โดยตลาดกาแฟโลกมีมูลค่าราว 433,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 8% ต่อปี สำหรับประเทศไทย ตลาดกาแฟมีมูลค่าประมาณ 100,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 9% ต่อปี มีการบริโภคกาแฟเฉลี่ย 340 แก้วต่อคนต่อปี หรือประมาณวันละ 1 แก้ว และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ดังนั้น การผลักดันให้กาแฟไทยมีคุณภาพ มีอัตลักษณ์ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงเป็นกุญแจสำคัญในการเจาะตลาดพรีเมียมทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะ "ตลาดจีน" ซึ่งมีแนวโน้มบริโภคสูงในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก FTA อาเซียน–จีน และ RCEP ซึ่งช่วยลดภาษีนำเข้าเมล็ดกาแฟคั่วลงเหลือ 0–5% และผลิตภัณฑ์กาแฟเหลือ 0% ได้อย่างเต็มที่ ปัจจุบัน ไทยส่งออกกาแฟคั่วไปจีนเป็นอันดับ 2 มูลค่า 0.29 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกาแฟสำเร็จรูปเป็นอันดับ 7 มูลค่า 3.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามความนิยมกาแฟของผู้บริโภคจีนที่เพิ่มขึ้นกว่า 8.55% ต่อปี รัฐบาลมั่นใจว่า การส่งเสริมแบรนด์กาแฟไทยผ่าน FTA จะช่วยให้ผู้ประกอบการก้าวสู่การเป็นผู้ส่งออกระดับโลก เชื่อมโยงวัตถุดิบไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานโลก และยกระดับแบรนด์ไทยสู่ตลาดพรีเมียม รมช.พาณิชย์ กล่าวเสริมว่า การปรับตัวเชิงรุกของ "ทีมไทยแลนด์" เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้การเจรจารอบนี้ส่งผลดีที่สุดต่อทุกภาคส่วนในระยะยาว
หอการค้าแนะผู้ประกอบการประเมินต้นทุนขนส่ง-เลี่ยงภาษีสูงสุด
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการหารือร่วมกับกรมการค้าต่างประเทศเมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อเตรียมความพร้อมผู้ส่งออกในเรื่องการวางแผนและติดตามการขนส่งสินค้า ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับรายละเอียดของภาษี 19% ที่ระบุไว้ใน Annex II ดังนี้:
สินค้าที่ "เริ่มขนส่งก่อนวันที่ 7 ส.ค. 2568" และ "ออกจากคลัง/ขายในสหรัฐฯ ก่อนวันที่ 5 ต.ค. 2568" จะถูกเก็บภาษี 10%
สินค้าที่ "เริ่มขนส่งก่อน 7 ส.ค." แต่ "ออกจากคลัง/ขายหลัง 5 ต.ค. 2568" จะถูกเก็บภาษี 19%
สินค้าที่ "เริ่มขนส่งตั้งแต่ 7 ส.ค. 2568 เป็นต้นไป" จะถูกเก็บภาษี 19%
หอการค้าจึงแนะนำให้ผู้ประกอบการเร่งประเมินกำหนดการจัดส่งและต้นทุนให้ชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีในอัตราที่สูงเกินจำเป็น พร้อมประกาศความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางประสานเสียงภาคเอกชน เพื่อให้รัฐบาลสามารถกำหนดมาตรกาและท่าทีในการเจรจาได้อย่างแม่นยำ โดยไม่กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของไทย
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
รอดูประกาศแถลงการณ์ร่วม – เจรจาเชิงเทคนิคยังไม่จบ
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้รอการประกาศแถลงการณ์ร่วมอย่างเป็นทางการจาก USTR หรือประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ของทั้งสองประเทศในการเพิ่มการค้าและลดอุปสรรคระหว่างกันหลังจากนั้นจึงจะเข้าสู่การเจรจาเชิงเทคนิคในประเด็นต่างๆ เช่น
รายละเอียดสินค้าอ่อนไหวที่ไทยอาจรับได้หรือไม่
สัดส่วน Rules of Origin
สัดส่วน RVC สำหรับสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม
ภาคบริการ
โดยยืนยันว่า “ไม่มีการหารือในด้านความมั่นคง”
ตัวอย่างสินค้าอ่อนไหวที่เป็นที่กังวล เช่น เนื้อวัว และเนื้อสุกร ซึ่งปัจจุบันไทยไม่ได้ห้ามนำเข้าจากทุกประเทศ แต่มีข้อจำกัดด้านการใช้สารเร่งเนื้อแดง (เบต้าอะโกนิสต์) ภายใต้การดูแลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ระบุว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อกฎหมาย ก่อนเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเห็นชอบการจัดตั้ง กองทุนช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและภาคบริการ ที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า วงเงินเริ่มต้น 1,000 ล้านบาท
กองทุนนี้จะครอบคลุมการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจาก FTA ทุกกรณี ไม่เฉพาะการตอบโต้ภาษีของสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียว ซึ่งถือเป็นมาตรการสำคัญในการเพิ่มความยืดหยุ่นและความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย
นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
ข้อมูลจาก thaipbs
กำแพงภาษี กำแพงภาษีสหรัฐฯ สหรัฐฯ ภาษีทรัมป์ ภาษี19% ส่งออกไทย อัตราภาษีนำเข้า 19%