จากกรณีที่ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ มีคำสั่งระงับการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายที่ริเริ่มโดยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อเก็บภาษีจากประเทศที่มีการส่งออกเข้าสหรัฐฯ มากกว่าปริมาณสินค้าที่นำเข้าจากสหรัฐฯ โดยศาลเห็นว่าการใช้อำนาจในลักษณะนี้เกินขอบเขตที่กฎหมายอนุญาต
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ที่บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังต้องรอติดตามสถานการณ์ให้แน่ชัด โดยเฉพาะในกรณีการอุทธรณ์คำสั่งศาล และแนวโน้มการดำเนินมาตรการภาษีนำเข้าสินค้าพื้นฐานจากทั่วโลกที่ถูกปรับขึ้นไปแล้ว 10% ว่าจะยกเลิกหรือคงไว้ต่อไป
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ได้มีการติดต่อและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทางการสหรัฐมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ “โหมดการเจรจา” อย่างเป็นทางการ โดยนายพิชัยระบุว่า ไทยกับสหรัฐมีความสัมพันธ์ในหลายมิติ และมีแนวโน้มว่าหากมีการเก็บภาษีแบบต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ไทยอาจอยู่ในกลุ่มประเทศที่ได้รับอัตราต่ำ
นายพิชัยยังกล่าวถึงความแตกต่างระหว่างไทยกับเวียดนาม โดยระบุว่า แม้ไทยจะมีปัญหาเรื่องการส่งออกบ้าง แต่ก็ได้มีการใช้กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rule of Origin) มาช่วยควบคุมไม่ให้เกิดการสวมสิทธิ์เพื่อส่งออกสินค้าจากประเทศที่สาม ซึ่งต่างจากเวียดนามที่มีปัญหาการขาดดุลกับสหรัฐฯ ในระดับสูง และพึ่งพาการส่งออกสินค้าจากจีนเป็นหลัก
“การเลื่อนใช้มาตรการ Reciprocal Tariff ออกไปเรื่อย ๆ ถือว่าเป็นผลดีต่อไทย เพราะจะทำให้การส่งออกของไทยในปีนี้ยังเติบโตต่อเนื่อง หากสถานการณ์คงที่เช่นปัจจุบัน การส่งออกทั้งปีอาจขยายตัวได้ถึงระดับสองหลัก ไม่ใช่แค่ 4% อย่างที่เคยประเมินไว้” นายพิชัยกล่าว
ด้านนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวเสริมว่า การที่ศาลสหรัฐฯ มีคำสั่งระงับการขึ้นภาษีนำเข้า ถือเป็นสัญญาณบวกที่สะท้อนถึงผลกระทบเชิงลบของนโยบายภาษีดังกล่าว ไม่เฉพาะกับประเทศคู่ค้าเท่านั้น แต่รวมถึงสังคมในสหรัฐฯ เองด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามท่าทีของสหรัฐฯ ภายใน 1-2 วันนี้ว่า คำสั่งระงับจะมีผลบังคับจริงหรือไม่ และการอุทธรณ์จะใช้เวลานานเพียงใด รวมถึงความชัดเจนว่า จะมีการขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการ Reciprocal Tariff ที่เดิมเลื่อนออกไป 90 วัน และจะครบกำหนดในต้นเดือนกรกฎาคมนี้หรือไม่
ทั้งนี้ ประเด็นดังกล่าวจะถูกหยิบยกเข้าสู่การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) ในวันที่ 4 มิถุนายนนี้ เพื่อประเมินสถานการณ์และหารือถึงแนวทางรับมืออย่างรอบด้าน โดยจะนำข้อสรุปไปสะท้อนต่อภาครัฐเพื่อเตรียมความพร้อมต่อไป