เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ประกาศผ่านแพลตฟอร์ม “Truth Social” ว่า สหรัฐฯ จะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจาก 14 ประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมนี้ โดยระบุว่าเป็นมาตรการภายใต้แนวทาง “ภาษีตอบโต้” (Reciprocal Tariffs) ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อ ลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า
ประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 14 ประเทศที่ถูกรวมอยู่ในมาตรการใหม่นี้ โดย อัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากไทยยังคงอยู่ที่ 36% เท่ากับที่เคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ไม่เปลี่ยนแปลง
ปธน.ทรัมป์ได้โพสต์ภาพจดหมายลงนามถึงผู้นำของแต่ละประเทศ โดยในจดหมายนั้นระบุรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราภาษีใหม่ และเหตุผลของมาตรการดังกล่าว ซึ่งครอบคลุมถึงประเทศที่มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลก ได้แก่:
ไทย: 36% (คงเดิม)
ลาว: 40% (ลดลงจาก 48%)
เมียนมา: 40% (ลดลงจาก 44%)
กัมพูชา: 36% (ลดลงจาก 49%)
บังกลาเทศ: 35% (ลดลงจาก 37%)
เซอร์เบีย: 35% (ลดลงจาก 37%)
อินโดนีเซีย: 32% (คงเดิม)
บอสเนียฯ: 30% (ลดลงจาก 35%)
แอฟริกาใต้: 30% (คงเดิม)
ญี่ปุ่น: 25% (เพิ่มจาก 24%)
คาซัคสถาน: 25% (ลดลงจาก 27%)
มาเลเซีย: 25% (เพิ่มจาก 24%)
เกาหลีใต้: 25% (คงเดิม)
ตูนิเซีย: 25% (ลดลงจาก 28%)
จดหมายบางฉบับยังระบุว่า สหรัฐฯ “อาจจะ” พิจารณาปรับลดหรือเพิ่มภาษีในอนาคต ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของประเทศนั้นกับสหรัฐฯ
โฆษกทำเนียบขาว “แคโรไลน์ เลวิตต์” กล่าวเพิ่มเติมว่า ปธน.ทรัมป์เตรียมลงนามในคำสั่งพิเศษ เพื่อ เลื่อนกำหนดเส้นตายมาตรการภาษีจากเดิมวันที่ 9 กรกฎาคม ออกไปเป็นวันที่ 1 สิงหาคม พร้อมเผยว่าจะมีการส่งจดหมายไปยังประเทศอื่นเพิ่มเติมในเร็ว ๆ นี้
การเก็บภาษีศุลกากรในครั้งนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับแนวทาง "America First" ที่ทรัมป์เคยใช้ในช่วงดำรงตำแหน่งก่อนหน้า โดยเน้นลดการพึ่งพาการนำเข้า และส่งเสริมการผลิตในประเทศ อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้อาจส่งผลให้เกิดความตึงเครียดทางการค้า และกระทบต่อความสัมพันธ์กับประเทศพันธมิตรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออก
โดนัลด์ ทรัมป์, ภาษีศุลกากร, ภาษีตอบโต้, สหรัฐฯ